‘ค่าเงินบาท’อ่อนค่า 34.80 บาท ตัวเลขศก.สหรัฐดีกว่าคาด ระวังความผันผวน

น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า เงินบาทวันนี้ 23 ธ.ค. 65 ปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.80-34.82 บาทต่อดอลลาร์ (09.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.67 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทอ่อนค่ากลับมา หลังจากที่เงินดอลลาร์ ได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ซึ่งทำให้มีความกังวลว่า เฟดจะคงส่งสัญญาณนโยบายการเงินแบบคุมเข้มต่อไป

ทั้งนี้ แม้ตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกจะเพิ่มขึ้นมาที่ 216,000 รายในสัปดาห์ที่แล้ว แต่ก็เป็นระดับที่ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ขณะที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 3/65 (final) ขยายตัว 3.2% ซึ่งสูงกว่าตัวเลขที่ประกาศในรอบ 1 และ 2

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.70-35.00 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ทิศทางฟันด์โฟลว์ การเคลื่อนไหวของสกุลเงินเอเชีย และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ อาทิ ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน อัตราเงินเฟ้อที่คำนวณจากดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE Price Index) เดือน พ.ย. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน ธ.ค. จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หลังจากภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้แย่อย่างที่ตลาดเคยกังวล โดยล่าสุดข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ ล่าสุด ทั้งยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) รวมถึง อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ก็ต่างออกมาดีกว่าคาด (ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ส่วนใหญ่ที่ประกาศในสัปดาห์นี้ก็ออกมาดีกว่าคาดเช่นกัน) ซึ่งความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องของเฟดได้กดดันให้ผู้เล่นในตลาดต่างเทขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวกับทิศทางดอกเบี้ย/บอนด์ยีลด์ ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.45%

ส่วนทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ก็พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.97% จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่กดดันให้หุ้นกลุ่มเทคฯ ฝั่งยุโรปก็ปรับตัวลดลงเช่นเดียวกับในฝั่งสหรัฐ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป หลังอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจอังกฤษในไตรมาสที่ 3 ออกมาแย่กว่าคาด (-0.3%q/q หรือ +1.9%y/y)

ในส่วนตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐ ยังคงแกว่งตัวในกรอบใกล้ระดับ 3.70% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นเล็กน้อย จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกังวลว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง หากภาพเศรษฐกิจสหรัฐ ไม่ได้แย่ลงหรือชะลอตัวลงหนักตามที่คาดการณ์ไว้ ทั้งนี้ เราคงมองว่า หากบอนด์ยีลด์ระยะยาวมีการปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจเป็นจังหวะที่ดีในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อเพิ่มสถานะถือครองสินทรัพย์ปลอดภัย ไว้รับมือภาพเศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้นในปีหน้า ขณะที่ downside risk ของการถือครองบอนด์ระยะยาวก็อาจมีอยู่จำกัด ยกเว้นกรณีที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยไปมากกว่าระดับ 5.50% หรือ 6.00% ได้

ส่วนในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104.4 จุด หนุนรายงานข้อมูลเศรษฐกิจล่าสุดของสหรัฐ ที่ออกมาดีกว่าคาด ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่าเฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องไปได้มากกว่าคาด อย่างไรก็ดี แม้ว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง แต่ก็มีสาเหตุหลักจากความกังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งได้หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับแถว 1,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่าผู้เล่นในตลาดบางส่วน อาจรอจังหวะการย่อตัวลงของราคาทองคำในการทยอยเข้าซื้อ ทำให้มีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้เช่นกัน

สำหรับวันนี้ ไฮไลต์สำคัญจะอยู่ที่รายงานเงินเฟ้อ PCE ของสหรัฐ โดยตลาดมองว่า แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ชะลอตัวลงต่อเนื่อง รวมถึงราคาสินค้าพลังงานที่ปรับตัวลดลงในช่วงที่ผ่านมา อาจส่งผลให้ในเดือนพฤศจิกายน ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลทั่วไป (PCE) ซึ่งเป็นอัตราเงินเฟ้อที่เฟดจับตาอย่างใกล้ชิด อาจเพิ่มขึ้น +5.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

ส่วนดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคลพื้นฐาน (Core PCE) ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน ก็อาจเพิ่มขึ้นเพียง +4.6%y/y นับว่าเป็นการชะลอลงอย่างต่อเนื่องของดัชนีชี้วัดภาวะเงินเฟ้อที่เฟดจับตามองใกล้ชิด และหากดัชนี PCE และ Core PCE ชะลอลงตามคาดและยังคงชะลอลงในอัตราดังกล่าวต่อเนื่อง ก็จะสะท้อนว่า คาดการณ์ของเฟดล่าสุดอาจมองแนวโน้มเงินเฟ้อสูงเกินไปบ้าง ซึ่งในกรณีที่ ดัชนี PCE และ Core PCE ชะลอลงตามคาด หรือ ชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มเฟดเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยไปไกลเกินกว่าระดับ 5.00% ซึ่งอาจช่วยให้บรรยากาศในตลาดการเงินพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้

ขณะที่แนวโน้มค่าเงินบาท มองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบที่กว้างได้ หลังจากพลิกกลับมาอ่อนค่าลง จากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ และถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง โดยมองว่า เงินบาทอาจผันผวนในฝั่งอ่อนค่าต่อได้บ้าง หากบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ซึ่งอาจเห็นแรงขายทำกำไรหุ้นไทยจากนักลงทุนต่างชาติมากขึ้นได้

อย่างไรก็ดี คงประเมินว่า แม้เงินบาทจะอ่อนค่าลง แต่ก็อาจจะไม่ทะลุโซนแนวต้านแถว 35.00-35.20 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่ายนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาด อย่างบรรดาผู้ส่งออก ต่างก็รอจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทในการทยอยขายเงินดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติที่ยังคงมีมุมมองเชื่อว่า เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นต่อได้ ก็รอจังหวะในการเพิ่มสถานะ Short USDTHB อยู่บ้างคำพูดจาก สล็อตเว็บตรง

ทั้งนี้ มองว่า ควรระมัดระวังความผันผวนของตลาดการเงิน ในช่วงก่อนและหลังตลาดรับรู้รายงานเงินเฟ้อ PCE สหรัฐ ซึ่งหากเงินเฟ้อ PCE ชะลอลงตามคาด หรือ มากกว่าคาด ก็อาจทำให้ตลาดพลิกกลับมาเปิดรับความเสี่ยง กดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง และเราอาจเห็นเงินบาทกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ (อาจมีแรงส่งแข็งค่าเพิ่มเติม หากราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นด้วย) แต่เงินบาทก็อาจแข็งค่าไม่เกินกว่าโซนแนวรับที่เราเคยประเมินไว้แถว 34.50-34.60 บาทต่อดอลลาร์