น.ส.กาญจนา โชคไพศาลศิลป์ ผู้บริหารงานวิจัยศูนย์วิจัยกสิกรไทย เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทวันนี้ 4 ก.ค. แข็งค่าผ่านแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ช่วงสั้นๆ ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.05-35.07 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงเช้าวันนี้ (09.10 น.) แข็งค่าขึ้นต่อเนื่องจากระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.23 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทแข็งค่าขึ้นสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินเอเชีย ขณะที่เงินดอลลาร์ ยังขาดปัจจัยใหม่ๆ มาหนุน โดยในวันนี้เป็นวันหยุดของตลาดการเงินเนื่องในวันชาติสหรัฐ ทั้งนี้ แม้เงินบาทจะแข็งค่าขึ้น แต่คงติดตามประเด็นทางการเมืองภายในประเทศในระหว่างวันอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.90-35.10 บาทต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลการประชุมนโยบายการเงินของธนาคารกลางออสเตรเลีย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย กล่าวว่า ในช่วงคืนก่อนหน้า เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นและเคลื่อนไหวในกรอบ 34.95-35.25 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ และการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ หลังดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐ ปรับตัวลดลงแย่กว่าคาด นอกจากนี้ เงินบาทยังได้แรงหนุนจากความกังวลปัญหาการเมืองไทยต่อประเด็นการเลือกประธานสภา ที่เริ่มคลี่คลายลง
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐ จะเปิดทำการเพียงครึ่งวัน แต่ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐ ต่างยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มธนาคาร (BofA +1.8%, Wells Fargo +1.7%) หลังผลการทดสอบ Stress Test ออกมาเป็นที่น่าพอใจและทำให้บรรดาธนาคารดังกล่าวประกาศจ่ายปันผล นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นแรงของหุ้น Tesla +6.9% ตามรายงานยอดส่งมอบรถยนต์ที่โตกว่า +10%q/q (+83%y/y) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐ กลับเผชิญแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ ใหญ่ (Apple -0.8%, Microsoft -0.8%) จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.12%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.21% กดดันโดยการปรับตัวลงแรงของหุ้นกลุ่ม Healthcare นำโดย AstraZeneca -8.0% หลังนักวิเคราะห์ประเมินว่าบริษัทอาจได้รับอานิสงส์จากยารักษามะเร็งปอดน้อยกว่าคาด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +2.7%) และหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ (Rio Tinto +2.1%) ท่ามกลางความหวังว่า ทางการจีนอาจออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมคำพูดจาก pg slot เว็บใหม่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวอ่อนค่าลง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก กดดันโดยทั้งบรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐ ที่เปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่องและรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตที่ออกมาแย่กว่าคาด ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลดลงใกล้ระดับ 103 จุด (กรอบการเคลื่อนไหว 102.9-103.2 จุด ในช่วงคืนที่ผ่านมา)คำพูดจาก สล็อตเว็บตรง
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าจะเผชิญแรงกดดันจากภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด แต่ทว่า การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ก็มีส่วนช่วยหนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) รีบาวด์ขึ้นเข้าใกล้ระดับ 1,940 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลงมาใกล้ระดับ 1,929 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าว ก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญอาจมีไม่มากนัก และอาจมีเพียงผลการประชุมของธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) ที่อาจมีความน่าสนใจ โดยผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า RBA จะกลับมาคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.10% ตามภาพเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอมากขึ้น
ทั้งนี้ มองว่า ไฮไลต์สำคัญที่ควรจับตาอย่างใกล้ชิด คือ ผลการโหวตเลือกประธานสภา ในวันนี้ ซึ่งการประชุมสภา จะเริ่มต้นในเวลา 09.00 น. และกระบวนการโหวตเลือกประธานสภา และรองประธานสภา ทั้งสองตำแหน่ง อาจใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท ประเมินว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มผันผวนสูงอยู่ ท่ามกลางปัจจัยการเมืองในประเทศที่เริ่มมีผลกับตลาดการเงินไทยมากขึ้นในระยะนี้ อย่างไรก็ดี ประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นแผ่วลงมากขึ้น ทำให้หากเงินบาทอ่อนค่าลงก็อาจจะยังคงติดโซนแนวต้านแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ หรือโซนแนวต้านสำคัญที่เคยประเมินไว้ก่อนหน้าแถว 35.75 บาทต่อดอลลาร์
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการเลือกประธานสภา เพราะหากผลการเลือกเป็นไปตามที่ทั้งพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยเสนอและแถลงในคืนก่อนหน้า มองว่า ตลาดการเงินอาจตอบรับในเชิงบวก หนุนให้เงินบาทมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ทดสอบโซนแนวรับ 34.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ไม่ยาก ทว่า หากผลการเลือกประธานสภา ผิดจากคาด และสะท้อนความวุ่นวายทางการเมืองหรือความไม่แน่นอนของการจัดตั้งรัฐบาล เราประเมินว่า เงินบาทก็มีโอกาสพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้เช่นกัน